นี่คือ 5 เทรนด์การลงทุนแบบฮาร์ดแวร์ที่จะช่วยให้คุณมีเสถียรภาพความเสี่ยงการลงทุนทางดิจิทัลของคุณ:
1. การใช้เทคนิคการอัตราเฉลี่ย
ลงทุนเงินจำนวนหนึ่งในเครื่องมือประเภทต่างๆ ทุกๆ ครั้ง ซึ่งไม่คำนึงถึงความสำเร็จหรือข้อบกพร่องของตลาด นักลงทุนจะสามารถลดความผันผวนส่วนบุคคล และเพิ่มจำนวนหน่วยเมื่อมีราคาลดลง
ตัวอย่าง: ลงทุน $100 ในเดือนละ 5 เงินตราต่างประเทศ เช่น บิทคอยน์ (BTC), อีทีไฮ (ETH), ลิตเตกิ้น (LTC), ริปเปิล (XRP) และแอด้า (ADA)
2. ฟันดูशิหรือเอฟที
ลงทุนใน Portfolio หลายตัวจากเครื่องมือประเภทดิจิทัลผ่าน Fund ดัชนีหรือ Fund ที่สามารถซื้อขายได้ (เอฟเท) นักลงทุนจะสามารถติดตามผลลัพธ์ของตลาดเฉพาะๆ เช่น CoinDesk Crypto 50 ซึ่งประกอบไปด้วย 50 เงินตราต่างประเทศที่มีชื่อเสียง
ตัวอย่าง: ลงทุนใน Fund ดัชนีที่ติดตามการเปลี่ยนแปลงของ S&P 500 ของราคาดิจิทัล เช่น Bitwise 10 Large Cap Crypto Index Fund หรือ GBTC ETF จาก Winklevoss Twins
3. การฝังรากและการนำเงินดอกเบี้ย
ลงทุนในเงินตราต่างประเทศที่มีผลตอบแทนส่วนบุคคลหรือการนำเงินดอกเบี้ย ซึ่งสามารถเพิ่มรายได้ของนักลงทุนที่ไม่ต้องเข้าซื้อขายกันเอง
ตัวอย่าง: ลงทุนใน Tezos (XTZ), EOS หรือ Cosmos (ATOM) ซึ่งมีผลตอบแทนส่วนบุคคล หรือลงทุนในเงินตราต่างประเทศดอกเบี้ย เช่น Celsius Network (CEL) หรือ Compound (COMP)
4. การมั่นคงการนำเงินดิจิทัลแบบหลากหลาย
ลงทุนใน Platform ที่ให้โอกาสในการนำเงินดิจิทัลที่หลากหลาย โดยการนำเงินออกจากนักลงทุนที่จะช่วยเหลือผู้ยืมและเพิ่มรายได้
ตัวอย่าง: ลงทุนใน BlockFi, Nexo หรือ Crypto.com ซึ่งให้บริการบัญชีที่สามารถนำเงินดอกเบี้ยได้หรือผลิตภัณฑ์ในการกู้ยืมที่มีการจัดสรรทรัพย์สินแบบหลากหลาย
5. การใช้เทคนิคการอัตราเฉลี่ยด้วยลักษณะใหม่ (การเก็บตัวเลขภาษี)
ลงทุนในกลุ่มที่จะช่วยเหลือการทำกำไรโดยการขายเครื่องมือที่ไม่ดีเพื่อให้สามารถลดภาษีและเพิ่มผลตอบแทนทั้งภาษีหลังจากนี้
ตัวอย่าง: ลงทุน $1000 ใน 5 เงินตราต่างประเทศ แล้วขายเครื่องมือที่ไม่ดีเพื่อซื้อรายได้ที่ดีขึ้นหรือลงทุนใน Fund ดัชนีที่หลากหลาย
จำไว้:
– ควรทำการวิจัยส่วนบุคคลก่อนการลงทุนในเครื่องมือประเภทใดๆ
– ไม่ควรเสียทุกอย่างในตัวเดียว
– ตั้งเป้าหมายและความสามารถในการรับความเสี่ยงของคุณ
– ความหลากหลายเป็นหลักในการลดการสูญเสียและเพิ่มผลตอบแทนทั้งภาษี