5 วิธีเพิ่มประสิทธิภาพในการประเมินเครือข่ายบล็อกเชนแบบ Layer 2

1. ใช้กฎ 3 วินาที: ประเมินความสามารถในการปรับขนาดในเวลาจริง

เมื่อประเมินเครือข่ายบล็อกเชน layer 2 คิดถึงเวลาที่ใช้ในการประมวลผลจำนวนการซื้อขายที่กำหนดตามความจุอยู่ในปัจจุบัน หากใช้เวลาเกินกว่าสามวินาที เครือข่ายนั้นเป็นไปได้ว่ามีความต้องการปรับปรุงในด้านความสามารถในการปรับขนาด

เพื่อทดสอบกฎนี้ ให้สังเกตข้อมูลดังนี้:

– ขนาดบล็อกปัจจุบัน
– เวลาในการประมวลผลบล็อก
– จำนวนการซื้อขายต่อวินาที (TPS)
– ระบบเครือข่ายที่กำลังใช้งานอยู่

หากคุณไม่สามารถประมวลผลจำนวนการซื้อขายได้อย่างสมเหตุสมผลภายในสามวินาที เครือข่ายนั้นอาจจำเป็นต้องปรับปรุงในด้านความสามารถในการปรับขนาด

2. วิเคราะห์เงินกำไรและเทียบกับเครือข่าย layer 1

เครือข่ายบล็อกเชน layer 2 มักพึ่ง赖ต่อเครือข่าย layer 1 ในการทำการตั้งค่าและการรักษาความปลอดภัย ดังนั้นพวกเขาจึงมีการเก็บเงินกำไรที่ต่ำกว่าเครือข่าย layer 1 เช่น Ethereum

เพื่อประเมินเครือข่ายบล็อกเชน layer 2:

– วิจัยจำนวนเงินกำไรเฉลี่ยของเครือข่าย layer 1 (เช่น Ethereum)
– เทียบกับจำนวนนั้นกับเครือข่าย layer 2 ที่จะประเมิน
– มองหาการเปลี่ยนแปลงหรือการหลุดในอัตราเงินที่มี

หากจำนวนเงินกำไรของเครือข่าย layer 2 นั้นต่ำกว่าเครือข่าย layer 1 ก็อาจเป็นตัวเลือกที่ดีกว่าสำหรับผู้ใช้

3. ประเมินความปลอดภัยและกลไกการยืนยัน

กลไกการยืนยันที่แข็งแรงถือเป็นสิ่งจำเป็นในการรักษาเครือข่ายบล็อกเชนอย่างมั่นคงและไว้วางใจ เมื่อประเมินเครือข่าย layer 2:

– วิจัยกลไกการยืนยันที่ใช้ (เช่น พิสูจน์ความเป็นเจ้าของ, พิสูจน์ความทำงาน)
– หาความเสี่ยงหรือข้อจำกัดของกลไกการยืนยัน
– ประเมินมาตรการรักษาความปลอดภัยที่อยู่ในเครือข่าย (เช่น การกระจายตัวของโหนด, ความปลอดภัยของกระเป๋าเงิน)

กลไกการยืนยันที่ดีถือเป็นสิ่งจำเป็นในการรักษาความสมบูรณ์ของเครือข่ายและความไว้วางใจของผู้ใช้

4. ประเมินความเข้ากันได้กับเครือข่ายอื่น ๆ และระบบ

เครือข่ายบล็อกเชน layer 2 มักพยายามปรับปรุงการเข้ากันของอื่น ๆ กับเครือข่าย blockchain หรือระบบอื่น ๆ เมื่อประเมินเครือข่าย layer 2:

– วิจัยความร่วมมือกับผู้ที่อยู่ข้างต้น (เช่น Ethereum, Polkadot)
– ประเมินการรวมกันของโหนดและความเข้ากันได้ของ dApps ที่มีชื่อเสียง
– มองหาความจำกัดหรือการแลกเปลี่ยนเมื่อทำการต่อเครือข่ายภายนอก

เครือข่ายบล็อกเชน layer 2 ที่ออกแบบมาอย่างดีควรทำให้มีความเข้ากันได้ระหว่างระบบและเครือข่ายต่างๆ เพื่อให้ผู้ใช้สามารถใช้งานได้อย่างไม่มีปัญหา

5. สังเกตคุณลักษณะของเครือข่ายและการปรับแต่ง

เครือข่ายที่มีการปรับแต่งและมีความสามารถในการปรับแต่งได้ถือเป็นสิ่งจำเป็นในการตอบสนองความต้องการของผู้ใช้งานทั้งหมดและแอปพลิเคชันทุกชนิด เมื่อประเมินเครือข่าย layer 2:

– วิจัยคุณลักษณะที่สามารถปรับแต่งได้ (เช่น ความจุของบล็อก, ขีดจำกัดเงินกำไร)
– ประเมินการเปลี่ยนแปลงหรือการปรับแต่งเหล่านี้เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้ใช้
– มองหาความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นระหว่างความสามารถในการปรับแต่งและความปลอดภัย

เครือข่ายบล็อกเชน layer 2 ที่มีการปรับแต่งได้จะสามารถปรับตัวให้เข้ากับความต้องการของผู้ใช้ในระยะยาว